วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทำไมต้องลงทุนในหุ้น ??

 
 
      ทำไมต้องลงทุนในหุ้น??? ...... เพราะผมเป็นคนขี้เกียจนะสิครับ แหะๆ (ขี้เกียจยังไงกันนะ??)

     อย่างที่ผมเคยเกริ่นเอาไว้แล้วว่า ผมต้องการ "อิสรภาพทางการเงินและเวลา" .... จึงมีอยู่วิธีเดียวก็คือ ผมต้องทำให้รายได้ของผมเป็นแบบ "Passive income" ให้ได้   ^^

     ก็แค่สร้าง Asset ขึ้นมาไงล่ะครับ หุหุ   

     "ห้องเช่าหรือบ้านเช่า"..."เปิดบริษัท"......"แฟรนไชร์ส"..."ธุรกิจเครือข่าย"..."หุ้น"..."ทอง"..."ที่ดิน".....อะไรก็แล้วแต่ที่คุณสร้างขึ้นมาแล้วมันทำเงินให้คุณ นั่นแหละคือ สินทรัพย์ "Asset"

     คุณก็ลองดูว่า คุณจะใช้ asset ไหน มันขึ้นกับ "ความเสี่ยง" และ "วิธีคิด" ของแต่ละคนครับ .... (การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนนะครับ หุหุ)

     อะไรก็ตามที่คุณเลือก มันทำให้คุณมีอิสรภาพทางการเงินและเวลาได้แน่นอนครับ .... นั่นคือ เมื่อคุณสร้างมันสำเร็จแล้ว คุณก็หยุดทำงานได้ แล้วใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปทำอะไรตามที่คุณอยากทำ
     ตัวเลือกของผมก็คือ "หุ้น" ครับ.... ผมมีงานประจำทำให้ไม่มีเวลาว่างไปดูธุรกิจของผมแน่ๆ อีกทั้ง ผมก็ไม่มีทุนมากพอและไม่กล้าพอที่จะกู้เพื่อนำมาลงทุนด้วยครับ อีกเหตุผลหนึ่งคือ ผมสามารถนำเงินเหลือใช้ของผมในแต่ละเดือนค่อยๆทะยอยซื้อกิจการได้ (การซื้อหุ้นคือคุณจะได้เป็นเจ้าของกิจการของบริษัทนั้นๆครับ)

     แน่นอน มีคนที่ล้มละลายจากหุ้น และมีคนที่กลายเป็นมหาเศรษฐีจากหุ้นได้เหมือนกัน ... คุณจะดูใครเป็นตัวอย่างล่ะ??

     "การเล่นหุ้น" ไม่ว่าคุณจะเล่นแนวไหนก็ทำกำไรให้คุณได้ทั้งนั้น "Technical" นักเก็งกำไร ซื้อแพง ขายแพงกว่า หรือจะเป็น "Fundamental" นักลงทุน ซื้อถูก ขายแพง

     "Technical" เป็นการเล่นตามเทรนด์ ... ขาขึ้น ซื้อแล้วขาย .... ขาลง ขายแล้วค่อยซื้อ (Short) พิจารณาจาก indicator ต่างๆจากกราฟหุ้น
  
     "Fundamental" เป็นการเล่นหุ้นโดยดูพื้นฐานของบริษัท แล้วรอซื้อเมื่อราคาหุ้นถูก แล้วขายเมื่อราคาหุ้นแพง ..... เราจะเรียกพวกนี้ว่า "Value Investor"


     เห็นไหมครับ ไม่ว่าจะเล่นแนวไหน คุณก็กำไรทั้งนั้น

     เพียงแต่คนที่เขา "เจ๊ง" นั่นเขาทำตรงข้ามน่ะสิครับ....เขาซื้อถูกแต่ขายถูกกว่า!! จะไม่เจ๊งได้ไงล่ะครับ เอิ๊กๆ

      การทำกำไรของหุ้นใน 2 แนวนี้ต่างกันนะครับ คือ พวกTechnical จะทำกำไรจากส่วนต่างของราคาเพียงอย่างเดียว .... ส่วนพวก Fundamental แทบจะไม่เคยขายเลยครับ แต่จะทำกำไรจากเงินปันผลครับ ส่วนส่วนต่างราคานั้นถือว่าเป็นผลพลอยได้ครับ (ซึ่งมหาศาล หุหุ)

     ผมจะยกตัวอย่างแบบคิดง่ายๆซักตัวอย่างนึงนะครับ (ในมุมมองของนักเก็งกำไรนะครับ)

     CPF......

      สมมติซื้อเมื่อสิ้นปี 51 ราคา 3.18 บาท....ปันผลปี 52 ทั้งปี 0.34 บาท คิดเป็น 10.69%ต่อปี (0.34 ÷ 3.18 = 10.69%) ... ถ้าขาย ณ สิ้นปี 52 ราคาหุ้นอยู่ที่ 11.40 บาท นั่นคือ ได้กำไรจากส่วนต่าง อีก 8.22 บาท (11.40 - 3.18 = 8.22 บาท) .... แปลว่า คุณได้กำไรจากเงินปันผลรวมกับส่วนต่างราคาเท่ากับ 8.56 บาท (8.22 + 0.34 = 8.56 บาท) .... เท่ากับคุณกำไร 269.18%ต่อปี (8.56 ÷ 3.18 = 269.18%)

      หุหุ....คุณเอาไปคิดต่อเอาเองแล้วกันนะ สมมติว่าคุณไม่ขายเมื่อสิ้นปี 52 .... ตอนนี้ราคาหุ้นละ 31.75 บาท (19 ส.ค. 54) รวมทั้งเงินปันผลปี 52-54 ทั้งหมด 2.49 บาท ... กำไรของคุณจะมหาศาลเท่าไหร่ .... นี่ยังไม่ได้นับกรณีที่คุณเอาเงินปันผลเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มนะครับ

      แต่จริงๆ CPF เป็นตัวอย่างของหุ้น "สิบเด้ง" ครับ หรือเรียกว่า "Super stock" นั่นแหละครับ ... เมื่อ เวลาผ่านไป ราคาของหุ้นพวกนี้จะไม่โตแบบสิบเด้งแบบนี้แล้วครับ ทำให้ผลตอบแทนแบบทบต้นในระยะยาว (ผมหมายถึงมากกว่า 20 ปี นะครับ) จะประมาณ 20-60 % ครับ

       คงไม่มีอะไรที่มีผลตอบแทนดีกว่า "หุ้น" ใช่ไหมครับ .... ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล .... ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร .... อะไรก็แล้วแต่

       แต่สำหรับผู้ที่ต้องการอิสรภาพทางการเงินและเวลา (อย่างผม) คงไม่ขายหุ้นแน่ๆ ... คุณลองดูสิ ยิ่งเวลาผ่านไป เงินปันผลยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ...ก็เพราะบริษัททำกำไรได้มากขึ้นเรื่อยๆ เงินปันผลอาจมากกว่าเงินต้นของคุณซะด้วยซ้ำ....แล้วคุณจะขายทำไม???

       ฉะนั้น เหล่า VI ทั้งหลาย แทบไม่เคยขายหุ้นเลย เว้นเสียแต่ว่า เขาคิดแล้วว่าหุ้นนี้แพงเกินไปแล้วหรือมีเหตุการณ์ที่ทำให้บริษัทต้อง "ล้ม" ไปแน่ๆ !! 

       เมื่อเงินปันผลมีมากพอที่คุณจะสามารถใช้โดยไม่ต้องทำงานเพิ่ม นั่นแหละคือ "เป้าหมาย" สำเร็จแล้ว....."อิสรภาพทางการเงินและเวลา"



วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปฐมบทแห่งมหากาพย์....เวอร์จริงๆ หุหุ


 ในสังคมไทยผมเชื่อว่าแทบจะทุกบ้านพ่อแม่มักสอนเราว่า....
                "เรียนให้เก่งนะลูก จะได้มีงานทำดีๆ" ....
               "เรียนให้สูงๆปริญญาเอกเลยก็ได้ จะได้เงินเดือนมากๆ".....
และอะไรอีกหลายอย่างที่ป้อนเข้าสู่หัวสมองของเรา โดยความคาดหวังของพ่อแม่ก็เพื่อ ให้เรามีงานทำที่ "มั่นคง" และ "มีเงินเดือนสูงๆ" ..... เราจะได้ไม่ลำบาก

มันไม่ผิดอะไรที่พ่อแม่จะสอนเราแบบนี้ เพียงแต่ว่า ปัจจุบันมันไม่ใช่ยุคของการเป็น "ลูกจ้าง" อีกต่อไปแล้ว .... ไม่ว่าจะเป็น ลูกจ้างของรัฐ "ข้าราชการ" หรือลูกจ้างของเอกชน "พนักงานบริษัท" ....  มันเป็นความคิดของคนในยุค “อุตสาหกรรม”

ในยุคนี้ “ยุคแห่งสารสนเทศ” คุณต้องมองโลกให้กว้างขึ้น ไม่ใช่มองแค่ในวิชาชีพหรืออาชีพของตัวเองเท่านั้น พูดง่ายๆ คุณต้องรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ... เพราะเดี๋ยวนี้ เราก็สามารถท่องโลกได้แค่ปลายนิ้วแล้ว .... แล้วคุณจะจำกัดโลกของตัวเองไปทำไมกัน คุณต้องมีวิสัยทัศน์ที่ไกลขึ้น ... เรื่องแบบนี้ค่อยๆฝึกกันไปครับ

สิ่งที่จุดประกายให้ผมเริ่มคิดจะลงทุนก็คือ งานประจำครับ .... ไม่ได้แปลว่าผมไม่รักในวิชาชีพตัวเองนะครับ เงินเดือนก็ถือว่าใช้ได้ในระดับคนรุ่นๆเดียวกัน แต่สิ่งที่ผมขาดไปคือ “เวลา” ครับ .... คุณชอบไหมล่ะ ทำเงินโดยใช้ แรง + เวลา .... ผมไม่เอาด้วยคนนึงแหละครับ แหะๆ ผมว่า “เวลา” เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดน่ะครับ

ทุกท่านคงเคยดูละครทางโทรทัศน์ใช่ไหมครับ .... เคยสงสัยไหมครับว่า พระเอก มันไม่ทำการทำงานหรือไงฟระ เอาแต่ขับรถหรูๆ ไปหานางเอกอยู่ได้ แล้วมันเอาเงินมาจากไหน?? … แหะๆ แล้วผมก็ได้คำตอบว่า ....

ในโลกนี้มีงานที่ทำรายได้ให้เรา 2 แบบ คือ 1. Active income – ก็คุณต้องออกแรงทำงานไงล่ะ หมายความว่า คุณต้องทำงานไปตลอดชีวิตนั่นแหละเพื่อแลกเงิน และ 2. Passive income – ก็คือคุณสร้าง asset ขึ้นมาเพื่อให้ asset สร้างเงินให้กับคุณแทน ก็หมายความว่า คุณออกแรงสร้าง asset เท่านั้น เมื่อสำเร็จคุณก็พักได้ ..... คุณอยากได้แบบไหนล่ะ??

แต่เหนือสิ่งอื่นใด คุณต้องรู้เป้าหมายของตัวเองซะก่อน แล้วก็ทำมันไปเรื่อยๆ ค่อยๆทำไป ไม่ต้องรีบ ทำให้ถึงเป้าหมายตามแผนที่คุณวางไว้ ในระยะเวลาที่คุณกำหนด ... บางครั้งมันจะไม่ได้ตามที่คุณวางไว้หรอก แต่ถ้ามันใกล้เคียงมันก็ยังดีกว่าไม่มีแผนการอะไรเลยไม่ใช่หรอครับ  ^^

เป้าหมายของผม คือ ..... “อิสรภาพทางการเงินและเวลา” 
แล้วเป้าหมายของคุณล่ะ คืออะไร??