วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ว่าด้วย Elliott Wave....นับยากชะมัดเลยอ่า =="

 
กราฟรายเดือนครับ ""

1. นี่เป็นการสาธิตการนับ Elliott wave นะครับ ... ไม่การันตี...ว่าจะถูกหรือเปล่านะครับ เพราะแต่ละคนนับได้ไม่เหมือนกันหรอกครับ...และผมก็นับไม่เก่งด้วย แหะๆ
ผมก็ใช้ RSI เป็นตัวช่วยนับอ่ะครับ ดังรูปเลยครับ ... ถ้านับถูก อื้มมมม มันส์ครับ

2. สังเกตเห็นไหมครับว่า ก่อนกราฟจะขึ้นหรือลง จะมีการทำ divergent กับ RSI เสมอ...ยิ่งชันยิ่งแรง ถ้ายังไม่มีการทำ divergent กราฟก็จะไปตามทิศทางนั้นแหละครั

3. รอบนี้ ผมนับได้ 4 นะครับ ฮ่าๆ....ก็มาลุ้นกันว่า ผมจะนับถูกหรือเปล่า ฮ่าๆๆๆ....ตอนนี้กราฟลงมาทดสอบแนวรับ fibonacci ที่ 38.2% แล้วก็เด้งขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 23.6% เรามาลุ้นกันว่าจะสามารถ ทะลุไปได้หรือไม่ หรือจะทะลุแนวรับ นี้กันแน่ ... ลุ้นๆ

ปล. ภาพนี้เป็นกราฟ เดือน แปลว่า เป็นภาพใหญ่มากๆนะครับ รอกันนานหน่อย ... แท่งเทียง 1 แท่ง คือ 1 เดือน....เห็นไหมครับ ตีมาได้แค่ 3 cycle เอง ตั้ง 30 ปี ฮ่าๆๆ
 

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ยังไม่ถึง stop loss ..... ผมไม่ขาย!!

SET ระยะ day

หลักในการเล่นหุ้นแบบ Technical Analysis นั้น ง่ายๆ มีอยู่ 2 อย่างคือ
             1. เมื่อไปถูกทางต้อง "let profit run" และ
             2. เมื่อไปผิดทางต้อง "cut loss"

ซึ่ง การจะทำ 2 อย่างนั้นได้ต้องใช้ความรู้ (บ้าง) + ใจ (มหาศาล) ครับ ....

ตัวอย่าง SET ระยะ day ครับ (ให้เอาไปใช้กับหุ้นรายตัวได้นะครับ ลองดู)....

วันที่ 8พ.ย.54 ดัชนีทะลุเส้นแนวต้านสีส้มไปแล้ว เราก็ซื้อตามครับ เพราะ เมื่อมันทะลุแล้วมักจะขึ้นต่อไปเรื่อยๆ

ผมวาง stop loss ไว้ตรงเส้นประสีแดงครับ....เนื่องจากผมใช้ Dow theory ครับ มันเป็น low เดิม

แปลว่า เมื่อราคาไม่ตกมาถึงหรือทะลุเส้นที่ผมวางไว้ ผมจะไม่ขายเด็ดขาด

แล้วอีก 2 วัน มันก็มาทดสอบ "ใจ" ผมทันที ฮ่าๆๆๆ ...

ดูสิครับ ถ้าผมขายไป ฮึ่ม "ขายหมู" เลยทีนี้ เพราะหลังจากนั้นก็วิ่งขึ้นไปต่อ แล้วก็ let profit run ไปเรื่อยๆครับ

สิ่งที่ต้องตอบตัวเองให้ได้ก็คือ ขายเมื่อไหร่??

อันนี้พอมองภาพออกไหมครับ

** จำไว้เลยนะครับ ถ้าจะเล่นแนวนี้ ต้อง "มีวินัย" และ "จุดcut loss" เสมอ เราจะไม่เจ็บหนักครับ ^^

แล้ววันหลังเมื่อมีโอกาส ผมจะเอาตัวอย่างการไม่วางจุด stop loss มาให้ดูครับ

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

SET 9-NOV-2011......ทะลุแนวต้านแล้วทำไมวันนี้ถึง ลบ??



เมื่อวานทะลุแนวต้านขึ้นมาแรง....วันนี้ก็เลยลบไปเบาะๆ 15จุด

ตรงนี้ผมมองว่า เนื่องจากมันทะลุเส้น แนวต้านเส้นสีเหลือง ซึ่งเป็นเส้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง (แปลว่ามันมีการซื้อ-ขาย ดึงรั้งราคากันอยู่หลายครั้งแล้ว) .... แนวต้านจึงกลายเป็นแนวรับทันที....เมื่อมันทะลุไปก็มีบางคนที่ "อยากขาย" เพื่อหนีดอย อยู่บ้าง ก็เลยดึงให้ราคามันลงมา ทดสอบแนวรับนี้ ซึ่งแข็งแกร่งกว่ามาก เพราะมีแนวรับถึง 2 เส้น คือเส้นสีเหลืองและเส้นสีแดง

คราวนี้ราคาก็ไปได้ 2 ทางเช่นกัน คือ 1. ทะลุลงผ่านเส้นแนวรับสีแดง...กรณีนี้ก็จะไปทดสอบ Low เดิม ค่อยว่ากันอีกที หรือ 2. เด้งขึ้นไปต่อ...กรณีนี้ก็จะเคลื่อนไปตามเส้นประสีแดง 2 เส้นจะสังเกตเห็นว่า มันเริ่มบีบเป็นสามเหลี่ยม เมื่อไปถึงปลายของสามเหลี่ยมนี้มันก็จะ "เลือกทาง" ให้ระวัง**

มาดู indicator กันบ้าง
1. Stochastic Momentum...ตัดขึ้นเป็นสัญญาณ ซื้อ ได้ .... อาจจะมีเด้งขึ้นนะ
2. MACD....ยังไม่ตัดลง ก็คิดว่ายังคงขึ้นต่อ
3. RSI...ทำท่าหัวงอลงมา แต่ก็ยังมากกว่า 50 .... ผมมองว่ามันยัง bullish อยู่

สรุป..พรุ่งนี้ ลุ้น Rebound ในกรอบแคบๆ ครับ ^^

อย่าลืมนะครับ TA คือเล่นตาม Trend....อย่าฝืนเทรนด์ และกล้าที่จะเชื่อ indicator ต่างๆ ... แต่ก็ต้องอย่าลืม "cut loss" ด้วยนะครับ ^^"

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

SET 8-NOV-2011 .... สืบเนื่องจากบทเรียนครั้งที่แล้ว !! ที่ต้องจดจำ ^^"


หลังจากผมเคย ฝืน Trend มาแล้วครั้งนึง ทำให้เศร้ามาก T_T" .....ครั้งนี้เลยต้องการจะทดสอบ Trend ว่า ฮึ่ม!! การเล่นตาม Trend โดยตัดความเห็นหรือความรู้สึกส่วนตัวออกไป มันจะได้ผลแค่ไหน

การเล่นหุ้น อย่างที่บอกไว้ครับ มี 2 แบบหลักๆคือ 1. ซื้อลงทุน (VI) และ 2. ซื้อเก็งกำไร (TA) ... วันนี้เราจะมา share ถึงแบบหลังกันครับ

การเล่นหุ้นแบบ TA : Technical Analysis ... พูดง่ายๆ ก็คือ การเล่นตาม Trend นั่นแหละครับ กราฟไปทางไหน เราไปทางนั้น .... ขาขึ้นเราซื้อแล้วขาย ,,, ขาลง เราขายก่อนแล้วค่อยซื้อคืน (ภาษาหุ้นเขาเรียกว่า Short อ่ะครับ) .... จะเห็นว่าเราสามารถทำกำไรได้ทั้ง 2 ขา เลย

ขาขึ้น: สมมุติเรามองว่า ต่อไปราคาจะขึ้นแน่ๆเลย เราก็ ซื้อราคา 10 บาท เมื่อมันขึ้นไปที่ราคาหนึ่งเราก็ขายมันไป สมมุติ เราขายไปที่ ราคา 20 บาท ก็เท่ากับเราได้กำไร 10 บาท

ขาลง: สมมุติเรามองว่า ต่อไปราคาจะลงแน่ๆเลย เราก็ ขายราคา 20 บาท เมื่อมันขึ้นไปที่ราคาหนึ่งเราก็ซื้อคืนซะ สมมุติ เราซื้อคืนที่ราคา 10 บาท ก็เท่ากับเราได้กำไร 10 บาท

ปล. หลายคนคง งง ... ไม่มีหุ้นอยู่ในมือแล้วขายก่อนได้ไงว้า ~~" ... แหะๆ ก็เรายืมหุ้นจากโบรกเกอร์มาขายก่อนอ่ะครับ แล้วเราก็ซื้อคืนโบรกไปทีหลัง โดยเสียค่ายืมนิดหน่อย เหมือนเป็นดอกเบี้ยอ่ะครับ ... พอ get ป่ะ??

คำถามต่อไป..... อ้าว!! แล้วเราจะรู้ได้ไงว่า มันจะขึ้น หรือมัน จะลง???
อื้ม ... มันก็มี indicator ต่างๆ ใช้เป็นตัว "ทำนาย" Trend อะครับ เช่น MACD, RSI, EMA, Bolinger, Fibonacci, Stochastic Momentum,....บลาๆๆๆๆ เยอะแยะเลยครับ มันขึ้นกับว่าเราชอบใช้ตัวไหนบ้าง (สังเกตนะว่า ผมใช้คำว่า "ทำนาย" นะครับ แปลว่า มันอาจจะผิดก็ได้)

ดังนั้น....สรุปง่ายๆคือ การเล่น TA ก็เป็นการเล่นตาม Trend แหละครับ

*** บทเรียนที่ต้องจำ***
สำหรับผมแล้ว เมื่อครั้งที่แล้ว SET ยืนเหนือ 1000 มาตลอด ... มีวันนึง ประมาณเดือน ก.ย. SET ลงมาทดสอบ 1000กว่าๆ จุด ..... ถามว่าตอนนั้นเรารุ้ไหม ว่าถ้ามันทะลุลงมาได้ มันจะลงต่อไปเรื่อยๆ อื้ม!!! ใช่ รู้ครับ ...แต่ ตอนนั้น ใช้ความรู้สึก + คนเขาว่า (= มั่ว 555+) ก็เลยคิดว่า เห้ย ไม่มีทางลงมาหรอก เศรษฐกิจกำลังดีเลยเนี่ย เดี๋ยวมันก็ขึ้น .... ก็เลยสอยไป 1 ไม้ !! ... วันต่อมา ตลาดเปิด "ทะลุทุกแนวรับ" ... เศร้าสิครับ T_T"

*********** จำไว้เลยนะครับ "อย่าฝืน Trend" *************  ... ให้ดอกจันทร์ล้านดอกเลย แหะๆ

------------------------------------------------------------------------------
มาวันนี้ 8 Nov 2011 .... SET กราฟ day

ธรรมชาติของกราฟ มันจะขึ้น-ลง ไปทดสอบแนวรับแนวต้านต่างๆ เสมอ ... ตามลำดับนี้เลยครับ ^^

1. หลังจากกราฟได้ขึ้นมาทดสอบ แนวต้าน (เส้นประทะแยงสีเหลือง) หลายต่อหลายครั้ง ... วันนี้ก็ทำสำเร็จ (ยินดีด้วย ทาเคชิ!!) เห็นไหมครับ แท่งยาวเชียว บวกไป 27.42 จุด เยี่ยม!! .. มันทดสอบหลายๆครั้ง มันยิ่งเป็นแนวที่แกร่งอะครับ มันก็เลยเด้งแรงเป็นธรรมดา

2.เมื่อมันทะลุเส้นที่ 1 นี้ไปแล้วจะยืนยันว่าเป็นขาขึ้นได้ก็คือ...Dow Theory "หัวต้องยก" .... เส้นประสีเขียว เป็นเส้นบอก high ก่อนหน้า ... แปลว่า ถ้าสามารถทะลุแนวต้านนี้ไปได้ก็แปลว่า "หัวยก" !!

3. ถ้าสามารถทะลุ เส้นที่ 2 ไปได้ ก็จะไปเจอเส้นที่ 3 นั่นคือ.... EMA 90 วัน ... โดยธรรมชาติของ EMA จะเป็นแนวรับ-แนวต้านธรรมชาติอยู่แล้ว ... รอดูกันครับว่าจะทะลุเส้นนี้ไปได้ไหม ที่ประมา 997 จุด (ผมให้ 1000 จุดครับ ตามหลักจิตวิทยาลงทุนด้วย "เลขกลมๆ เจ๋งเสมอ") อีกอย่างนึง เมื่อลาก Fibonacci จะพบว่า เส้น 50% ก็อยู่แถวๆนี้เช่นกัน ... แปลว่า แนวรับนี้ "โคตรแกร่ง" เลยครับ

4. สำหรับผมแล้ว ถ้าจะเป็น "ขาขึ้น" จริงๆ ผมคิดว่าต้องผ่านเส้น EMA 233 วันไปให้ได้ ... ก็ถ้าทะลุ เส้นนี้ไปได้ "แหล่ม" เลยครับ หุหุ

5. หลังจากนี้แล้ว กราฟจะทะยอย "ปิด gap" ต่างๆแล้วครับ มีอยู่หลาย gap ครับ ลองนับดู....นั่นก็ใช้เป็น แนวรับ-แนวต้านได้ครับ

จะเห็นว่า ถ้ามันเป็นดังที่ผมว่าข้างบน กราฟมันจะวิ่งขึ้น-ลง ไปตามเส้นประสีแดงที่ขนานกันนั้นแหละครับ "มันจะขึ้นเรื่อยๆ" ....ถามว่าจะขึ้นไปถึงเมื่อไหร่?? ... ไม่มีใครรุ้หรอกครับ "ก็ขึ้นไปจนกว่ามันจะลง" นั่นแหละครับ หุหุ ไม่ได้กวนนะครับ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
------------------------------------------------------------------------------
ลองมาดู indicator ตัวที่ผมชอบใช้หน่อยนะครับ ผมชอบใช้ RSI และ MACD ครับ .... อย่าลืมนะครับ มันใช้ "ทำนาย" ... แปลว่า มันจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ได้ ^^

1. RSI ... ก็ขึ้นไปตามกราฟแหละครับ ยังไม่ overbought (จุดที่ overbought คือ RSI > 70) แปลว่ามันก็ยังมีโอกาสขึ้นต่อไปเรื่อยๆครับ .... แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ กดหัวลงมานะครับ อะไรก็เป็นไปได้เสมอ

2. MACD ... ก็ยังคงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามกราฟ เช่นกันครับ ... แต่ที่สังเกตเห็นคือเป็นวันแรกที่ MACD บวก ครับ อิอิ แต่ก็ยังต้องลุ้นต่อไปว่า signal จะบวกตามหรือไม่ แปลว่ามัน bullish อยู่ครับ .... สำหรับผู้ที่ใช้ MACD เป็นตัวกำหนดเกม ก็ยังต้องรอให้ 2 เส้นตัดลงก่อนครับ ถึงจะเป็นสัญญาณ "ขาย" ช่วงนี้ก็ถือรอไปก่อนครับ ^^" (จุดเข้าของ MACD ก็คือ 2 เส้นตัดขึ้นครับ เห็นกันหรือเปล่า??)
------------------------------------------------------------------------------
เห็นไหมครับ นี่เป็นการเล่น ตาม Trend ... เราก็ไปรอ "ซื้อ-ขาย" แถวๆ แนวรับ-แนวต้าน นั่นแหละครับ ส่วนพวก indicator เป็นเหมือนตัวใช้ยืนยัน Trend เฉยๆอ่ะครับ ให้ใช้ "ดูประกอบ" แต่ ห้ามใช้เป็นตัวนำนะครับ ***

คำถามต่อไป ... ไม่เห็นมีอะไรชัวร์เลยว่ามันจะ ขึ้นจริงหรือลงจริง แล้วเราจะทำยังไง??
ตอบง่ายๆครับ ถ้าเราไปถูกทาง ก็ let profit run ไปเรือยๆครับ แต่ถ้าไปผิดทางก็ cut loss ครับ
(cut loss เราจะพูดกันในโอกาสต่อไปนะครับ ^^)

เล่นแบบนี้ไม่มีทาง "หมดตัว" แน่ๆครับ ขอให้มีวินัย อย่าฝืน trend และอย่าเอาอารมณ์ของตัวเองมาใช้ตัดสินครับ "ผมโดนมาแล้ว" เอิ๊กๆ

ขอให้ทุกคนโชคดี ^^"

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

SET day 2-Nov-2011....จะเป็นยังไงกันนะ ??

SET ภาพ day ของวันที่ 2 พ.ย. 54


 จะไปทางไหนต่อนะ??

1. เส้น Trendline สีส้ม บอกว่ากราฟกำลัง "ขึ้น" เรื่อยๆ (กราฟยังวิ่งอยู่ใน Channel) ----ตามทฤษฎี Dow's Theory หัวยกและตูดยก คือขาขึ้น---- สิ่งที่ต้องดูต่อไปคือ "แท่งเทียน" ต้องไม่ไปลงไปต่ำกว่า Low ก่อนหน้า ก็เส้นสีชมพูที่ขีดไว้นั่นแหละ เพราะถ้าต่ำกว่านั่นคือ break support line ลงไป ก็จะลงไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ ส่วน step ต่อไปคือ จะลงไปถึงไหน ..ฮึ่ม นั่นไง gap!! ก็ลงไปปิด gap ที่แถวๆ 870-880 นั่นแหละ ... แต่ถ้ายังคงวิ่งบน channel อยู่ก็ไปดูตาม gap ต่างๆนั่นแหละ เพียบ!!!

2. EMA...กราฟยังคงคลอเคลียอยู่แถวๆ EMA 35 วัน จึงยังยืนยันไม่ได้ว่าเป็น "ขาขึ้น" ... ก็รอดูกันต่อไปว่า EMA 15 จะตัดกับเส้น EMA 35 ขึ้น เมื่อไหร่ ก็เป็นสัญญาณเข้าซื้อ แล้วเล่นไปตามเส้น EMA15วัน นั่นแหละ

3. เส้น Trendline สีเขียว เป็น Trendline เส้นใหญ่ ที่ ถ้าสามารถทะลุ (ประมาณ 985จุด) ขึ้นไปได้ก็จะเปลี่ยนเป็น "ขาขึ้น" ทันที....แต่ถ้าจะให้เป็นขาขึ้นชัวร์ ต้องผ่านเส้น EMA 233 วัน ให้ได้......ตรงนี้น่าสนใจ ^^"

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

เงินเฟ้อ (Inflation).....คืออะไร??

 เด็กคนนี้หอบเงินไว้กี่ล้าน?? ในการซื้อสินค้า 1 ชิ้นกันเนี่ย ^^


มีเพื่อนๆหลายคนยังไม่รู้จักว่าเงินเฟ้อคืออะไร ทำไมเราต้องลงทุนให้ "ชนะ" เงินเฟ้อ ผมเลยจะมาอธิบายให้ฟังแบบคร่าวๆ (หมายถึง เท่าที่ผมรู้น่ะ อิอิ)

ในระบบเศรษฐกิจก็มีอยู่ 2 แบบ หลักๆคือ เงินเฟ้อ (Inflation) และ เงินฝืด (Deflation)

ภาวะเงินเฟ้อ หมายถึงภาวะที่ราคาของสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมองดีๆ จะเห็นว่า ราคามันไม่ได้สูงขึ้นหรอก จริงๆแล้ว ค่าเงินของเราต่างหากที่ลดลง .... อย่าเพิ่ง งง ครับ อย่าเพิ่ง งง

ยกตัวอย่างเช่น ในอดีต เงิน 100 บาท สามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 10 ชาม แต่ปัจจุบันซื้อได้เพียง 4 ชามเท่านั้น .... แต่ถ้าต้องการซื้อ 10 ชาม ต้องใช้เงินเป็นจำนวน 250 บาท ....

หรือ มองง่ายๆก็คือ เงินเฟ้อ ทำให้เงินที่เราถืออยู่มีมูลค่าลดลง เพราะซื้อของได้น้อยลงนั่นเอง

ในระบบเศรษฐกิจ ง่ายๆคือ เราต้องพึ่งพา "น้ำมัน" เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น ก็ทำให้ราคาของสิ่งของต่างๆสูงขึ้น เพราะเอาไปรวมกับค่าขนส่งเข้าไปด้วย อะไรประมาณนี้อ่ะครับ ..... ราคาในระบบเลยสูงขึ้น

แล้ว เงินเฟ้อ เกิดจากอะไรล่ะ??

ตามหลักวิชาการแล้วมันเกิดได้ 2 สาเหตุคือ ต้นทุนสูงขึ้น (cost-push inflation) ก็อย่างที่อธิบายไปแล้วข้างต้น และอีกสาเหตุหนึ่งคือ เกิดจากความต้องการเพิ่มมากขึ้น (demand-pull inflation) เมื่อบริษัทประเมินว่าต้องผลิตเท่านี้จะพอกับความต้องการ(ซึ่งในภาวะปกติก็เพียงพอต่อความต้องการ) แต่ความต้องการสินค้านั้นเพิ่มมากขึ้น (supply เท่าเดิม demand สูงขึ้น) ทำให้ราคาของแพงขึ้น ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น หลังจากนั้น คนก็จะเริ่ม "กักตุน" สินค้านั้นไว้เพราะคิดว่าอนาคตราคาต้องแพงกว่านี้ ก็เลยยิ่งทำให้ demand มากขึ้น ราคายิ่งแพงขึ้นไป .... แต่โดยปกติ ระบบนี้ รัฐ จะเข้ามาจัดการเสมอ


แล้วเขาวัดกันยังไงอ่ะ ว่าเงินเฟ้อเท่าไหร่?

สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จะเป็นผู้ประกาศอัตราเงินเฟ้อเป็นประจำทุกเดือน โดยจะเปรียบเทียบเป็นเดือนต่อเดือน หรือเป็นปี โดยจะใช้ "ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index-CPI)" เข้ามาเป็นตัวคำนวณ ... โดยดัชนีตัวนี้จะเป็นดัชนีที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาของสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคหามาบริโภคเป็นประจำ (โดยกลุ่มของสินค้าและบริการนั้นมันมีมากมายศึกษาเพิ่มเติมได้ http://www.indexpr.moc.go.th/price_present/cpi/data/index_47.asp?list_month=08&list_year=2554&list_region=country)

ดังนั้นการคำนวณอัตราเงินเฟ้อก็คือการเปรียบเทียบว่าราคาของสินค้าและบริการต่างๆ ถูกลงหรือแพงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน(หรือเดือนก่อน) ... พอเข้าใจป่ะครับ

การคำนวณก็อย่างเช่น


      CPI ของเดือน ส.ค. 53 คือ 100.00 ส่วน CPI ของเดือน ส.ค. 54 คือ 104.00 ดังนั้นอัตราเงินเฟ้อของเดือน ส.ค. 54 (yoy) คือ [(104-100)/100 ]x100 = 4%

แปลว่า เงินเราด้อยค่าลง 4% ต่อปี นั่นเอง หรือ แปลอีกอย่างนึงก็คือ ราคาสินค้าและบริการของเดือน ส.ค. 54 แพงขึ้น จากเดือน ส.ค. 53 เป็น 4% นั้นเอง

ผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อมีมากมาย คร่าวๆคือ ถ้าเงินเฟ้ออย่างอ่อน (น้อยกว่า5%) ก็จะมีผลดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่ถ้าเกิดเงินเฟ้อรุนแรง (มากกว่า 20%) อย่างนี้จะเป็นผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจได้ ...ไว้คราวหลังจะมาเล่าให้ฟัง

ฉะนั้น รัฐบาล จึงต้องกำหนดกรอบอัตราดอกเบี้ยไว้ ซึ่งในปี 2554 นี้ กำหนดไว้ที่ 0.5-3%ต่อปี เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมากนัก

--------------------------------------------------------------------------------------

ส่วนตัวผมคิดว่า อัตราเงินเฟ้อที่แท้จริงมันมากกว่าที่ประกาศไว้มากนัก เพราะ CPI จะมีการถ่วงน้ำหนัก และรายการสินค้ามักจะเป็นรายการที่ รัฐ ได้ควบคุมราคาไว้แล้ว

ลองคิดง่ายๆ ก๋วยเตี๋ยวขึ้นราคาจาก 20 บาท เป็น 25 บาท ก็เท่ากับ [(25-20)/20]x100 = 25% ไปแล้ว....ผมคิดถูกไหม??

ดังนั้น การที่เรานำเงินไปฝากธนาคาร ได้ดอกเบี้ยกระจิ๊ดเดียว มัน "แพ้" อัตราเงินเฟ้อ....ก็แปลว่า คุณขาดทุนในอัตราเร่ง!! ... แต่ก็ยังดีกว่าเอาเงินใส่ไหแล้วเอาไปฝังดิน ใช่ไหมครับ หุหุ

การลงทุนที่ได้ประสิทธิภาพ อย่างน้อยต้องได้ผลตอบแทน "ชนะ" อัตราเงินเฟ้อ.....
 
แต่สำหรับผมการลงทุนที่ได้ประสิทธิภาพต้องได้ผลตอบแทน "ชนะ" (เงินเฟ้อ + ความเสี่ยง) นั่นคือ อย่างน้อย 15%ต่อปี.....แต่ไม่ต้องไปกดดันตัวเองนะครับ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่งั้นคุณคงต้องบ้าตายไปก่อนแน่ๆ เอิ๊กๆ เอาให้ใกล้เคียงก็พอ ใน "ระยะยาว"




มีเรื่อง โจ๊ก เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกว่า.....คนเยอรมันจะเอารถเข็นขนเงินไปซื้อสินค้า ถ้าจอดทิ้งไว้ ขโมยก็จะคงเอาแต่รถเข็นไปเหลือทิ้งไว้แต่เงิน ^^





วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

การเล่นหุ้นคืออะไร ??





การลงทุนมีหลายแบบครับ เช่น ตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์ บลาๆๆๆ.... เยอะแยะไปหมด


แต่ที่เราจะมาคุยกันก็คือเรื่องของ "ตราสารทุน"




เมื่อบริษัทต้องการ "ระดมทุน" ขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ก็มีให้เลือกหลายๆทาง เช่น กู้ธนาคาร ออกตราสารทุน หรืออะไรก็แล้วแต่ .... เมื่อบริษัทเลือกที่จะออกตราสารทุน เอาง่ายๆ เขาก็เอามาขายให้เรา


แล้วทำไมเราต้องซื้อล่ะ??


ตราสารทุนเป็นหนังสือที่บ่งบอกว่าเรามีพันธะผูกพันกันนะ คือเราจะได้เป็นเจ้าของกิจการ


ตราสารทุนมีหลายประเภท เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ์ วอเร้นท์ เป็นต้น แต่ที่ทุกคนหมายถึงและสนใจกันก็คือ "หุ้นสามัญ" (Common stock).......แนะนำอย่างยิ่งให้ไปศึกษาความแตกต่างของตราสารทุน หรือต่างสารประเภทอื่นๆด้วย ใน www.set.or.th หรือใน www.settrade.com


ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ก็ให้ลองนึกย้อนกลับไปสมัยเรียนประถมหรือมัธยม......"สหกรณ์"
ที่ ร.ร. จะมีสหกรณ์ร้านค้าอยู่ เมื่อเขาต้องการระดมทุนอาจจะเพื่อเอาของมาลงมากขึ้นหรือเปิดอีกสาขาหนึ่งในฝั่งตรงข้ามของ ร.ร. หรืออะไรก็แล้วแต่ เขาก็ขายหุ้นให้เราที่เป็นนักเรียน เมื่อเราซื้อหุ้นไปจำนวนเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ก็เท่ากับว่า เราได้เป็นเจ้าของสหกรณ์ด้วย และ พอหมดเทอมในแต่ละเทอม ก็จะได้เงินปันผลมาในอัตราส่วนตามจำนวนหุ้นที่เราซื้อ....แหะๆ พอนึกภาพออกไหมครับ??


หุ้นนี้แหละครับ คือ "หุ้นสามัญ"


จะเห็นว่า จุดประสงค์ในการออกหุ้นก็คือ "ระดมทุน"
และ จุดประสงค์ของการซื้อหุ้นก็คือ "ลงทุน" ในกิจการนั้นๆ


เมื่อบริษัทขายหุ้นครั้งแรกจะเรียกว่า IPO (Initial Public Offering) หรือเราจะเรียกกันในหมู่นักลงทุนว่า "It's Probably Over value"  ..... ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ


ก็เมื่อบริษัทเสนอขายหุ้นครั้งแรก เขาก็ต้องปล่อยให้มันมีมูลค่าสูงๆไว้ (เพื่อระดมทุนไงครับ) ... เมื่อหุ้นทั้งหมดถูกซื้อหมด ก็จะเข้าสู่กลไกของตลาดแล้วครับ นั่นคือ supply-demand แล้วครับ "Price Reflex everything" ..... นักลงทุนเขาจะไม่ซื้อหุ้น IPO เท่าไหร่หรอกครับ เพราะมันไม่มีข้อมูลให้ศึกษา


เมื่อมีคนต้องการซื้อ ก็ต้องมีคนต้องการขาย...เมื่อมีคนต้องการขายก็ต้องมีคนต้องการซื้อ ^^"
นี่แหละ ตลาดอารมณ์ของจริง "โลภ" และ "กลัว" ..... (ค่อยมาคุยกันทีหลัง)


คำถามต่อมา.....การเล่นหุ้น คืออะไร?? (จะอธิบายแบบคร่าวๆนะครับ ให้ไปต่อยอดเอาเอง)


เราสามารถเล่นหุ้นได้ 2 แบบ คือ
1. เก็งกำไรระยะสั้นๆ --- แบบนี้ความเสี่ยงจะสูง แต่ผลตอบแทนระยะสั้นสูง ผู้ที่จะเล่นแบบนี้ต้องศึกษากราฟให้ดี และมีวินัยมากๆ ไม่งั้น เจ๊งแน่ๆ....พวกนี้ จะ "ซื้อแพงขายแพงกว่า" โดยเล่นไปตาม trend ... ใครฝืน trend ล่ะ ฮึ่ม...!! .... จะเรียกแบบนี้ว่า "Technical"


2. เป็นการลงทุนระยะยาว --- แบบนี้ความเสี่ยงจะต่ำกว่า เนื่องจากราคาหุ้นจะผันผวนน้อยกว่า ผลตอบแทนระยะยาวก็จะสูงกว่า ผู้ที่เล่นแบบนี้จะต้องศึกษาพื้นฐานของบริษัทที่เราจะเป็น "เจ้าของ" ให้ดี .... พวกนี้จะ "ซื้อถูกขายแพง" จึงต้องมีความ "อึด" มากๆ ต้องรอให้ราคาหุ้นลงมาต่ำๆก่อนถึงจะซื้อ พวกนี้จะขายแทบไม่เป็นเลย .... จะเรียกพวกที่เล่นแบบนี้ว่า "Value investor"


แล้วกำไรล่ะ มาจากไหน?


พวกแรก กำไรก็จะมาจาก ส่วนต่างของราคาหุ้น เช่น ซื้อ 5 บาท ขาย 10 บาท ก็กำไร 5 บาท
พวกหลัง กำไรจะมาจาก เงินปันผล + ส่วนต่างราคา --- (ย้อนกลับไปดูเรื่อง ทำไมต้องออมในหุ้น)








ก็ลองดูว่าตัวเองเป็นแนวไหน....รับความเสี่ยงได้แค่ไหน ก็เลือกแนวนั้น
"ห้าม" เปลี่ยนม้ากลางศึกเด็ดขาด


ค่อยๆศึกษาดู ^^

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทำไมต้องลงทุนในหุ้น ??

 
 
      ทำไมต้องลงทุนในหุ้น??? ...... เพราะผมเป็นคนขี้เกียจนะสิครับ แหะๆ (ขี้เกียจยังไงกันนะ??)

     อย่างที่ผมเคยเกริ่นเอาไว้แล้วว่า ผมต้องการ "อิสรภาพทางการเงินและเวลา" .... จึงมีอยู่วิธีเดียวก็คือ ผมต้องทำให้รายได้ของผมเป็นแบบ "Passive income" ให้ได้   ^^

     ก็แค่สร้าง Asset ขึ้นมาไงล่ะครับ หุหุ   

     "ห้องเช่าหรือบ้านเช่า"..."เปิดบริษัท"......"แฟรนไชร์ส"..."ธุรกิจเครือข่าย"..."หุ้น"..."ทอง"..."ที่ดิน".....อะไรก็แล้วแต่ที่คุณสร้างขึ้นมาแล้วมันทำเงินให้คุณ นั่นแหละคือ สินทรัพย์ "Asset"

     คุณก็ลองดูว่า คุณจะใช้ asset ไหน มันขึ้นกับ "ความเสี่ยง" และ "วิธีคิด" ของแต่ละคนครับ .... (การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนนะครับ หุหุ)

     อะไรก็ตามที่คุณเลือก มันทำให้คุณมีอิสรภาพทางการเงินและเวลาได้แน่นอนครับ .... นั่นคือ เมื่อคุณสร้างมันสำเร็จแล้ว คุณก็หยุดทำงานได้ แล้วใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปทำอะไรตามที่คุณอยากทำ
     ตัวเลือกของผมก็คือ "หุ้น" ครับ.... ผมมีงานประจำทำให้ไม่มีเวลาว่างไปดูธุรกิจของผมแน่ๆ อีกทั้ง ผมก็ไม่มีทุนมากพอและไม่กล้าพอที่จะกู้เพื่อนำมาลงทุนด้วยครับ อีกเหตุผลหนึ่งคือ ผมสามารถนำเงินเหลือใช้ของผมในแต่ละเดือนค่อยๆทะยอยซื้อกิจการได้ (การซื้อหุ้นคือคุณจะได้เป็นเจ้าของกิจการของบริษัทนั้นๆครับ)

     แน่นอน มีคนที่ล้มละลายจากหุ้น และมีคนที่กลายเป็นมหาเศรษฐีจากหุ้นได้เหมือนกัน ... คุณจะดูใครเป็นตัวอย่างล่ะ??

     "การเล่นหุ้น" ไม่ว่าคุณจะเล่นแนวไหนก็ทำกำไรให้คุณได้ทั้งนั้น "Technical" นักเก็งกำไร ซื้อแพง ขายแพงกว่า หรือจะเป็น "Fundamental" นักลงทุน ซื้อถูก ขายแพง

     "Technical" เป็นการเล่นตามเทรนด์ ... ขาขึ้น ซื้อแล้วขาย .... ขาลง ขายแล้วค่อยซื้อ (Short) พิจารณาจาก indicator ต่างๆจากกราฟหุ้น
  
     "Fundamental" เป็นการเล่นหุ้นโดยดูพื้นฐานของบริษัท แล้วรอซื้อเมื่อราคาหุ้นถูก แล้วขายเมื่อราคาหุ้นแพง ..... เราจะเรียกพวกนี้ว่า "Value Investor"


     เห็นไหมครับ ไม่ว่าจะเล่นแนวไหน คุณก็กำไรทั้งนั้น

     เพียงแต่คนที่เขา "เจ๊ง" นั่นเขาทำตรงข้ามน่ะสิครับ....เขาซื้อถูกแต่ขายถูกกว่า!! จะไม่เจ๊งได้ไงล่ะครับ เอิ๊กๆ

      การทำกำไรของหุ้นใน 2 แนวนี้ต่างกันนะครับ คือ พวกTechnical จะทำกำไรจากส่วนต่างของราคาเพียงอย่างเดียว .... ส่วนพวก Fundamental แทบจะไม่เคยขายเลยครับ แต่จะทำกำไรจากเงินปันผลครับ ส่วนส่วนต่างราคานั้นถือว่าเป็นผลพลอยได้ครับ (ซึ่งมหาศาล หุหุ)

     ผมจะยกตัวอย่างแบบคิดง่ายๆซักตัวอย่างนึงนะครับ (ในมุมมองของนักเก็งกำไรนะครับ)

     CPF......

      สมมติซื้อเมื่อสิ้นปี 51 ราคา 3.18 บาท....ปันผลปี 52 ทั้งปี 0.34 บาท คิดเป็น 10.69%ต่อปี (0.34 ÷ 3.18 = 10.69%) ... ถ้าขาย ณ สิ้นปี 52 ราคาหุ้นอยู่ที่ 11.40 บาท นั่นคือ ได้กำไรจากส่วนต่าง อีก 8.22 บาท (11.40 - 3.18 = 8.22 บาท) .... แปลว่า คุณได้กำไรจากเงินปันผลรวมกับส่วนต่างราคาเท่ากับ 8.56 บาท (8.22 + 0.34 = 8.56 บาท) .... เท่ากับคุณกำไร 269.18%ต่อปี (8.56 ÷ 3.18 = 269.18%)

      หุหุ....คุณเอาไปคิดต่อเอาเองแล้วกันนะ สมมติว่าคุณไม่ขายเมื่อสิ้นปี 52 .... ตอนนี้ราคาหุ้นละ 31.75 บาท (19 ส.ค. 54) รวมทั้งเงินปันผลปี 52-54 ทั้งหมด 2.49 บาท ... กำไรของคุณจะมหาศาลเท่าไหร่ .... นี่ยังไม่ได้นับกรณีที่คุณเอาเงินปันผลเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มนะครับ

      แต่จริงๆ CPF เป็นตัวอย่างของหุ้น "สิบเด้ง" ครับ หรือเรียกว่า "Super stock" นั่นแหละครับ ... เมื่อ เวลาผ่านไป ราคาของหุ้นพวกนี้จะไม่โตแบบสิบเด้งแบบนี้แล้วครับ ทำให้ผลตอบแทนแบบทบต้นในระยะยาว (ผมหมายถึงมากกว่า 20 ปี นะครับ) จะประมาณ 20-60 % ครับ

       คงไม่มีอะไรที่มีผลตอบแทนดีกว่า "หุ้น" ใช่ไหมครับ .... ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล .... ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร .... อะไรก็แล้วแต่

       แต่สำหรับผู้ที่ต้องการอิสรภาพทางการเงินและเวลา (อย่างผม) คงไม่ขายหุ้นแน่ๆ ... คุณลองดูสิ ยิ่งเวลาผ่านไป เงินปันผลยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ...ก็เพราะบริษัททำกำไรได้มากขึ้นเรื่อยๆ เงินปันผลอาจมากกว่าเงินต้นของคุณซะด้วยซ้ำ....แล้วคุณจะขายทำไม???

       ฉะนั้น เหล่า VI ทั้งหลาย แทบไม่เคยขายหุ้นเลย เว้นเสียแต่ว่า เขาคิดแล้วว่าหุ้นนี้แพงเกินไปแล้วหรือมีเหตุการณ์ที่ทำให้บริษัทต้อง "ล้ม" ไปแน่ๆ !! 

       เมื่อเงินปันผลมีมากพอที่คุณจะสามารถใช้โดยไม่ต้องทำงานเพิ่ม นั่นแหละคือ "เป้าหมาย" สำเร็จแล้ว....."อิสรภาพทางการเงินและเวลา"



วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปฐมบทแห่งมหากาพย์....เวอร์จริงๆ หุหุ


 ในสังคมไทยผมเชื่อว่าแทบจะทุกบ้านพ่อแม่มักสอนเราว่า....
                "เรียนให้เก่งนะลูก จะได้มีงานทำดีๆ" ....
               "เรียนให้สูงๆปริญญาเอกเลยก็ได้ จะได้เงินเดือนมากๆ".....
และอะไรอีกหลายอย่างที่ป้อนเข้าสู่หัวสมองของเรา โดยความคาดหวังของพ่อแม่ก็เพื่อ ให้เรามีงานทำที่ "มั่นคง" และ "มีเงินเดือนสูงๆ" ..... เราจะได้ไม่ลำบาก

มันไม่ผิดอะไรที่พ่อแม่จะสอนเราแบบนี้ เพียงแต่ว่า ปัจจุบันมันไม่ใช่ยุคของการเป็น "ลูกจ้าง" อีกต่อไปแล้ว .... ไม่ว่าจะเป็น ลูกจ้างของรัฐ "ข้าราชการ" หรือลูกจ้างของเอกชน "พนักงานบริษัท" ....  มันเป็นความคิดของคนในยุค “อุตสาหกรรม”

ในยุคนี้ “ยุคแห่งสารสนเทศ” คุณต้องมองโลกให้กว้างขึ้น ไม่ใช่มองแค่ในวิชาชีพหรืออาชีพของตัวเองเท่านั้น พูดง่ายๆ คุณต้องรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ... เพราะเดี๋ยวนี้ เราก็สามารถท่องโลกได้แค่ปลายนิ้วแล้ว .... แล้วคุณจะจำกัดโลกของตัวเองไปทำไมกัน คุณต้องมีวิสัยทัศน์ที่ไกลขึ้น ... เรื่องแบบนี้ค่อยๆฝึกกันไปครับ

สิ่งที่จุดประกายให้ผมเริ่มคิดจะลงทุนก็คือ งานประจำครับ .... ไม่ได้แปลว่าผมไม่รักในวิชาชีพตัวเองนะครับ เงินเดือนก็ถือว่าใช้ได้ในระดับคนรุ่นๆเดียวกัน แต่สิ่งที่ผมขาดไปคือ “เวลา” ครับ .... คุณชอบไหมล่ะ ทำเงินโดยใช้ แรง + เวลา .... ผมไม่เอาด้วยคนนึงแหละครับ แหะๆ ผมว่า “เวลา” เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดน่ะครับ

ทุกท่านคงเคยดูละครทางโทรทัศน์ใช่ไหมครับ .... เคยสงสัยไหมครับว่า พระเอก มันไม่ทำการทำงานหรือไงฟระ เอาแต่ขับรถหรูๆ ไปหานางเอกอยู่ได้ แล้วมันเอาเงินมาจากไหน?? … แหะๆ แล้วผมก็ได้คำตอบว่า ....

ในโลกนี้มีงานที่ทำรายได้ให้เรา 2 แบบ คือ 1. Active income – ก็คุณต้องออกแรงทำงานไงล่ะ หมายความว่า คุณต้องทำงานไปตลอดชีวิตนั่นแหละเพื่อแลกเงิน และ 2. Passive income – ก็คือคุณสร้าง asset ขึ้นมาเพื่อให้ asset สร้างเงินให้กับคุณแทน ก็หมายความว่า คุณออกแรงสร้าง asset เท่านั้น เมื่อสำเร็จคุณก็พักได้ ..... คุณอยากได้แบบไหนล่ะ??

แต่เหนือสิ่งอื่นใด คุณต้องรู้เป้าหมายของตัวเองซะก่อน แล้วก็ทำมันไปเรื่อยๆ ค่อยๆทำไป ไม่ต้องรีบ ทำให้ถึงเป้าหมายตามแผนที่คุณวางไว้ ในระยะเวลาที่คุณกำหนด ... บางครั้งมันจะไม่ได้ตามที่คุณวางไว้หรอก แต่ถ้ามันใกล้เคียงมันก็ยังดีกว่าไม่มีแผนการอะไรเลยไม่ใช่หรอครับ  ^^

เป้าหมายของผม คือ ..... “อิสรภาพทางการเงินและเวลา” 
แล้วเป้าหมายของคุณล่ะ คืออะไร??