วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

เงินเฟ้อ (Inflation).....คืออะไร??

 เด็กคนนี้หอบเงินไว้กี่ล้าน?? ในการซื้อสินค้า 1 ชิ้นกันเนี่ย ^^


มีเพื่อนๆหลายคนยังไม่รู้จักว่าเงินเฟ้อคืออะไร ทำไมเราต้องลงทุนให้ "ชนะ" เงินเฟ้อ ผมเลยจะมาอธิบายให้ฟังแบบคร่าวๆ (หมายถึง เท่าที่ผมรู้น่ะ อิอิ)

ในระบบเศรษฐกิจก็มีอยู่ 2 แบบ หลักๆคือ เงินเฟ้อ (Inflation) และ เงินฝืด (Deflation)

ภาวะเงินเฟ้อ หมายถึงภาวะที่ราคาของสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมองดีๆ จะเห็นว่า ราคามันไม่ได้สูงขึ้นหรอก จริงๆแล้ว ค่าเงินของเราต่างหากที่ลดลง .... อย่าเพิ่ง งง ครับ อย่าเพิ่ง งง

ยกตัวอย่างเช่น ในอดีต เงิน 100 บาท สามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 10 ชาม แต่ปัจจุบันซื้อได้เพียง 4 ชามเท่านั้น .... แต่ถ้าต้องการซื้อ 10 ชาม ต้องใช้เงินเป็นจำนวน 250 บาท ....

หรือ มองง่ายๆก็คือ เงินเฟ้อ ทำให้เงินที่เราถืออยู่มีมูลค่าลดลง เพราะซื้อของได้น้อยลงนั่นเอง

ในระบบเศรษฐกิจ ง่ายๆคือ เราต้องพึ่งพา "น้ำมัน" เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น ก็ทำให้ราคาของสิ่งของต่างๆสูงขึ้น เพราะเอาไปรวมกับค่าขนส่งเข้าไปด้วย อะไรประมาณนี้อ่ะครับ ..... ราคาในระบบเลยสูงขึ้น

แล้ว เงินเฟ้อ เกิดจากอะไรล่ะ??

ตามหลักวิชาการแล้วมันเกิดได้ 2 สาเหตุคือ ต้นทุนสูงขึ้น (cost-push inflation) ก็อย่างที่อธิบายไปแล้วข้างต้น และอีกสาเหตุหนึ่งคือ เกิดจากความต้องการเพิ่มมากขึ้น (demand-pull inflation) เมื่อบริษัทประเมินว่าต้องผลิตเท่านี้จะพอกับความต้องการ(ซึ่งในภาวะปกติก็เพียงพอต่อความต้องการ) แต่ความต้องการสินค้านั้นเพิ่มมากขึ้น (supply เท่าเดิม demand สูงขึ้น) ทำให้ราคาของแพงขึ้น ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น หลังจากนั้น คนก็จะเริ่ม "กักตุน" สินค้านั้นไว้เพราะคิดว่าอนาคตราคาต้องแพงกว่านี้ ก็เลยยิ่งทำให้ demand มากขึ้น ราคายิ่งแพงขึ้นไป .... แต่โดยปกติ ระบบนี้ รัฐ จะเข้ามาจัดการเสมอ


แล้วเขาวัดกันยังไงอ่ะ ว่าเงินเฟ้อเท่าไหร่?

สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จะเป็นผู้ประกาศอัตราเงินเฟ้อเป็นประจำทุกเดือน โดยจะเปรียบเทียบเป็นเดือนต่อเดือน หรือเป็นปี โดยจะใช้ "ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index-CPI)" เข้ามาเป็นตัวคำนวณ ... โดยดัชนีตัวนี้จะเป็นดัชนีที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาของสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคหามาบริโภคเป็นประจำ (โดยกลุ่มของสินค้าและบริการนั้นมันมีมากมายศึกษาเพิ่มเติมได้ http://www.indexpr.moc.go.th/price_present/cpi/data/index_47.asp?list_month=08&list_year=2554&list_region=country)

ดังนั้นการคำนวณอัตราเงินเฟ้อก็คือการเปรียบเทียบว่าราคาของสินค้าและบริการต่างๆ ถูกลงหรือแพงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน(หรือเดือนก่อน) ... พอเข้าใจป่ะครับ

การคำนวณก็อย่างเช่น


      CPI ของเดือน ส.ค. 53 คือ 100.00 ส่วน CPI ของเดือน ส.ค. 54 คือ 104.00 ดังนั้นอัตราเงินเฟ้อของเดือน ส.ค. 54 (yoy) คือ [(104-100)/100 ]x100 = 4%

แปลว่า เงินเราด้อยค่าลง 4% ต่อปี นั่นเอง หรือ แปลอีกอย่างนึงก็คือ ราคาสินค้าและบริการของเดือน ส.ค. 54 แพงขึ้น จากเดือน ส.ค. 53 เป็น 4% นั้นเอง

ผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อมีมากมาย คร่าวๆคือ ถ้าเงินเฟ้ออย่างอ่อน (น้อยกว่า5%) ก็จะมีผลดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่ถ้าเกิดเงินเฟ้อรุนแรง (มากกว่า 20%) อย่างนี้จะเป็นผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจได้ ...ไว้คราวหลังจะมาเล่าให้ฟัง

ฉะนั้น รัฐบาล จึงต้องกำหนดกรอบอัตราดอกเบี้ยไว้ ซึ่งในปี 2554 นี้ กำหนดไว้ที่ 0.5-3%ต่อปี เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมากนัก

--------------------------------------------------------------------------------------

ส่วนตัวผมคิดว่า อัตราเงินเฟ้อที่แท้จริงมันมากกว่าที่ประกาศไว้มากนัก เพราะ CPI จะมีการถ่วงน้ำหนัก และรายการสินค้ามักจะเป็นรายการที่ รัฐ ได้ควบคุมราคาไว้แล้ว

ลองคิดง่ายๆ ก๋วยเตี๋ยวขึ้นราคาจาก 20 บาท เป็น 25 บาท ก็เท่ากับ [(25-20)/20]x100 = 25% ไปแล้ว....ผมคิดถูกไหม??

ดังนั้น การที่เรานำเงินไปฝากธนาคาร ได้ดอกเบี้ยกระจิ๊ดเดียว มัน "แพ้" อัตราเงินเฟ้อ....ก็แปลว่า คุณขาดทุนในอัตราเร่ง!! ... แต่ก็ยังดีกว่าเอาเงินใส่ไหแล้วเอาไปฝังดิน ใช่ไหมครับ หุหุ

การลงทุนที่ได้ประสิทธิภาพ อย่างน้อยต้องได้ผลตอบแทน "ชนะ" อัตราเงินเฟ้อ.....
 
แต่สำหรับผมการลงทุนที่ได้ประสิทธิภาพต้องได้ผลตอบแทน "ชนะ" (เงินเฟ้อ + ความเสี่ยง) นั่นคือ อย่างน้อย 15%ต่อปี.....แต่ไม่ต้องไปกดดันตัวเองนะครับ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่งั้นคุณคงต้องบ้าตายไปก่อนแน่ๆ เอิ๊กๆ เอาให้ใกล้เคียงก็พอ ใน "ระยะยาว"




มีเรื่อง โจ๊ก เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกว่า.....คนเยอรมันจะเอารถเข็นขนเงินไปซื้อสินค้า ถ้าจอดทิ้งไว้ ขโมยก็จะคงเอาแต่รถเข็นไปเหลือทิ้งไว้แต่เงิน ^^





วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

การเล่นหุ้นคืออะไร ??





การลงทุนมีหลายแบบครับ เช่น ตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์ บลาๆๆๆ.... เยอะแยะไปหมด


แต่ที่เราจะมาคุยกันก็คือเรื่องของ "ตราสารทุน"




เมื่อบริษัทต้องการ "ระดมทุน" ขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ก็มีให้เลือกหลายๆทาง เช่น กู้ธนาคาร ออกตราสารทุน หรืออะไรก็แล้วแต่ .... เมื่อบริษัทเลือกที่จะออกตราสารทุน เอาง่ายๆ เขาก็เอามาขายให้เรา


แล้วทำไมเราต้องซื้อล่ะ??


ตราสารทุนเป็นหนังสือที่บ่งบอกว่าเรามีพันธะผูกพันกันนะ คือเราจะได้เป็นเจ้าของกิจการ


ตราสารทุนมีหลายประเภท เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ์ วอเร้นท์ เป็นต้น แต่ที่ทุกคนหมายถึงและสนใจกันก็คือ "หุ้นสามัญ" (Common stock).......แนะนำอย่างยิ่งให้ไปศึกษาความแตกต่างของตราสารทุน หรือต่างสารประเภทอื่นๆด้วย ใน www.set.or.th หรือใน www.settrade.com


ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ก็ให้ลองนึกย้อนกลับไปสมัยเรียนประถมหรือมัธยม......"สหกรณ์"
ที่ ร.ร. จะมีสหกรณ์ร้านค้าอยู่ เมื่อเขาต้องการระดมทุนอาจจะเพื่อเอาของมาลงมากขึ้นหรือเปิดอีกสาขาหนึ่งในฝั่งตรงข้ามของ ร.ร. หรืออะไรก็แล้วแต่ เขาก็ขายหุ้นให้เราที่เป็นนักเรียน เมื่อเราซื้อหุ้นไปจำนวนเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ก็เท่ากับว่า เราได้เป็นเจ้าของสหกรณ์ด้วย และ พอหมดเทอมในแต่ละเทอม ก็จะได้เงินปันผลมาในอัตราส่วนตามจำนวนหุ้นที่เราซื้อ....แหะๆ พอนึกภาพออกไหมครับ??


หุ้นนี้แหละครับ คือ "หุ้นสามัญ"


จะเห็นว่า จุดประสงค์ในการออกหุ้นก็คือ "ระดมทุน"
และ จุดประสงค์ของการซื้อหุ้นก็คือ "ลงทุน" ในกิจการนั้นๆ


เมื่อบริษัทขายหุ้นครั้งแรกจะเรียกว่า IPO (Initial Public Offering) หรือเราจะเรียกกันในหมู่นักลงทุนว่า "It's Probably Over value"  ..... ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ


ก็เมื่อบริษัทเสนอขายหุ้นครั้งแรก เขาก็ต้องปล่อยให้มันมีมูลค่าสูงๆไว้ (เพื่อระดมทุนไงครับ) ... เมื่อหุ้นทั้งหมดถูกซื้อหมด ก็จะเข้าสู่กลไกของตลาดแล้วครับ นั่นคือ supply-demand แล้วครับ "Price Reflex everything" ..... นักลงทุนเขาจะไม่ซื้อหุ้น IPO เท่าไหร่หรอกครับ เพราะมันไม่มีข้อมูลให้ศึกษา


เมื่อมีคนต้องการซื้อ ก็ต้องมีคนต้องการขาย...เมื่อมีคนต้องการขายก็ต้องมีคนต้องการซื้อ ^^"
นี่แหละ ตลาดอารมณ์ของจริง "โลภ" และ "กลัว" ..... (ค่อยมาคุยกันทีหลัง)


คำถามต่อมา.....การเล่นหุ้น คืออะไร?? (จะอธิบายแบบคร่าวๆนะครับ ให้ไปต่อยอดเอาเอง)


เราสามารถเล่นหุ้นได้ 2 แบบ คือ
1. เก็งกำไรระยะสั้นๆ --- แบบนี้ความเสี่ยงจะสูง แต่ผลตอบแทนระยะสั้นสูง ผู้ที่จะเล่นแบบนี้ต้องศึกษากราฟให้ดี และมีวินัยมากๆ ไม่งั้น เจ๊งแน่ๆ....พวกนี้ จะ "ซื้อแพงขายแพงกว่า" โดยเล่นไปตาม trend ... ใครฝืน trend ล่ะ ฮึ่ม...!! .... จะเรียกแบบนี้ว่า "Technical"


2. เป็นการลงทุนระยะยาว --- แบบนี้ความเสี่ยงจะต่ำกว่า เนื่องจากราคาหุ้นจะผันผวนน้อยกว่า ผลตอบแทนระยะยาวก็จะสูงกว่า ผู้ที่เล่นแบบนี้จะต้องศึกษาพื้นฐานของบริษัทที่เราจะเป็น "เจ้าของ" ให้ดี .... พวกนี้จะ "ซื้อถูกขายแพง" จึงต้องมีความ "อึด" มากๆ ต้องรอให้ราคาหุ้นลงมาต่ำๆก่อนถึงจะซื้อ พวกนี้จะขายแทบไม่เป็นเลย .... จะเรียกพวกที่เล่นแบบนี้ว่า "Value investor"


แล้วกำไรล่ะ มาจากไหน?


พวกแรก กำไรก็จะมาจาก ส่วนต่างของราคาหุ้น เช่น ซื้อ 5 บาท ขาย 10 บาท ก็กำไร 5 บาท
พวกหลัง กำไรจะมาจาก เงินปันผล + ส่วนต่างราคา --- (ย้อนกลับไปดูเรื่อง ทำไมต้องออมในหุ้น)








ก็ลองดูว่าตัวเองเป็นแนวไหน....รับความเสี่ยงได้แค่ไหน ก็เลือกแนวนั้น
"ห้าม" เปลี่ยนม้ากลางศึกเด็ดขาด


ค่อยๆศึกษาดู ^^